อักษรวิ่ง

WDC4Group รับให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการวางแผนทางการเงิน

วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2562

23. เดี๋ยวลูกเรียนจบ! ก็สบายแล้วจริงหรือ???

ในภาพอาจจะมี 3 คน, ผู้คนกำลังนั่ง และข้อความ



เราน่าจะเคยได้ยินประโยคนี้กันอยู่บ่อยๆ ใช่มั้ยครับ
น่าแปลกใจมั้ยครับ ว่าทำไมเราถึงคิดกันแบบนั้น?
ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะสังคมไทยมีรูปแบบสถาบันครอบครัวที่ลูกหลานต้องดูแลบุพการีในยามแก่เฒ่า ซึ่งในตอนที่พ่อแม่ยังมีเรี่ยวแรง เราจึงเอาแต่ทำงานหาเงินส่งลูกเรียนให้สูงๆ ด้วยความหวังว่า...
"เดี๋ยวลูกเรียนจบ...ก็สบายแล้ว"
คำว่า "สบายแล้ว" ในที่นี้ มีได้หลายความหมายครับ อาจจะสบายเพราะไม่ต้องส่งค่าเล่าเรียนแล้ว หรือ สบายเพราะลูกจะมีรายได้มาดูแลเราแล้ว ซึ่งหากเป็นประการหลัง ผมอยากให้เราในฐานะพ่อแม่ ในวันนี้
ลองคิดมุมกลับสักเล็กน้อยครับ...
แม้ว่าลูกของเรา เรียนจบ มีงานการทำ มีรายได้ของตัวเองแล้วก็ตาม แต่...เค้าก็จะมีชีวิต มีภาระ มีค่าใช้จ่ายของตัวเองและครอบครัวของเค้าในอนาคตต่อไปเช่นกัน และผมมองว่ารายได้ของคนเพิ่งเรียนจบ แค่ให้เลี้ยงตัวเองให้อยู่รอดได้ดี ก็น่าจะหืดขึ้นคอแล้วในยุคนี้
#อย่าคาดหวังความสบายจากการที่ลูกจะมีเงินมาดูแลเรา ได้อย่าง100% นะครับ จุดนี้อันตรายเกินไป อันตรายทั้งสำหรับพ่อแม่ และ อนาคตทางการเงินของลูกคุณด้วย
#สิ่งสำคัญที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องเตรียมตัว วางแผนดีๆ นอกจากเรื่องของการหาเงินส่งลูกเรียนแล้ว คือการวางแผนเกษียณให้สำหรับตนเองให้ครอบคลุมทุกๆด้านครับ ทั้งค่าใช้จ่ายส่วนตัวยามแก่ การรักษาพยาบาลตอนเจ็บป่วยตามวัย หรือ เงินก้อนสุดท้ายที่จะทิ้งไว้ให้คนข้างหลัง ทุกๆอย่างล้วนสำคัญหมดครับ
ผมถึงพยายามเน้นย้ำว่า "การวางแผนการเงิน" เป็นเรื่องสำคัญมาก ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะมันต้องใช้เวลางอกเงยนะครับ ถ้าคุณมัวแต่ทำงานหาเงินส่งลูกเรียน โดยหวังว่าลูกคุณจะเป็น #สวัสดิการสุดท้ายของชีวิต คุณกำลังเดินทางผิดแล้วครับ
สวัสดิการที่ดีที่สุดในชีวิตเรา เราต้องสร้างมันขึ้นมาเอง ในขณะที่ยังมีเรี่ยวแรง แม้ว่าคุณจะมีลูก มีครอบครัวในระหว่างทาง นั่นเป็นหน้าที่ที่คุณต้องบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้ดี และก็ห้ามละเลยการวางแผนเพื่อเกษียณของตัวเอง เด็ดขาด!!
ยามที่ตัวเราแก่เฒ่า ผ่านพ้นวัยทำงานหาเงิน เราควรอยู่ในจุดที่ดูแลตัวเองได้ดี และ เป็นที่พึ่งพิงให้ลูกหลานในวันข้างหน้าครับ ไม่ใช่เป็นภาระเกาะตามเค้าไป จนเค้าเติบโตไม่ได้ ชีวิตใคร ชีวิตมัน ชีวิตลูกก็เช่นกันครับ
คุณคงไม่อยากสบาย แล้วให้ลูกคุณเริ่มต้นชีวิตการทำงานแบบมีคุณเป็นภาระใช่มั้ยครับ ??
ความสบายจะขึ้นอยู่ที่เราใช้ชีวิตแบบไหน ในวันนี้...
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเรียนจบของลูกครับ เชื่อผมเถอะ
- มงคล ลุสัมฤทธิ์ -
Wealth Designer

• บทความโดย คุณมงคล ลุสัมฤทธิ์ • CEO of WDC Group •

Website: www.wdcgroup.co.th
Line@: http://line.me/ti/p/%40wealthdesigner

#WDCgroup
#WealthDesigner
#OurTouchForTheBetterLife
#ทุกชีวิตที่เราสัมผัสจะต้องดีขึ้น

22. ลาออก! อย่างนี้ต้องลาออก!

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

#คุณกำลังอยู่ในอารมณ์นี้อยู่รึเปล่าครับ...
ผมพบว่าหลายต่อหลายคนที่ใช้ชีวิตการทำงานแบบงอแงวันอาทิตย์ หงุดหงิดวันจันทร์ เบิกบานวันศุกร์ และวงจรในรอบปีคือ > กลางปี อยากลาออก > ปลายปีรอโบนัส
> ต้นปี(ได้โบนัส)มีกำลังใจ > กลางอยากลาออกใหม่...
วนกันแบบนี้ ทุกปี #แต่ก็ยังลาออกไม่ได้
พวกเราคิดว่า มีเหตุผลอะไรที่ทำให้คนเราต้องทนใช้ชีวิตแบบนี้? ผมสรุปให้แบบนี้ครับ #สาเหตุหลักๆที่คนเราอยากลาออก #แต่ยังทำไม่ได้ มีไม่กี่อย่างครับ
#ยังไม่มีที่ไป เชื่อเถอะครับ คนที่อยากลาออกทุกคน ถ้า "มีที่ไป" ที่ดี ค่าตอบแทนดั่งใจ ก็ไปทุกคนแหละครับ!สาเหตุที่ยังไม่มีที่ไป อาจจะเพราะยังหางานใหม่ไม่ได้, ขาดการพัฒนาตัวเอง, อายุที่มากขึ้น ฯลฯ อีกหลายๆปัจจัย ซึ่งข้อนี้แก้ไขง่ายๆ ถ้าคุณ "มีความสามารถที่โดดเด่น" การหางานไม่ใช่เรื่องใหญ่ครับ ใครๆก็อยากได้คุณ
ปัญหาคนทำงานทุกวันนี้ คือเราก้มหน้าทำงานกันงกๆ และ ไม่ยอมพัฒนาตัวเอง ไม่ยอมหาความรู้เพิ่ม ไม่แบ่งเวลาเพื่อไปเพิ่มความสามารถหลายๆทาง (แต่มีเวลาไปนั่งดื่มกินหลังเลิกงานได้) ชีวิตคุณเลยยังไม่มีที่ไปอยู่แบบนี้ไงครับ...
พัฒนาตัวเองด่วนครับ ถ้าอยากเพิ่มทางเลือกให้ตัวเอง แล้วถึงวันนั้นอคุณจะมีที่ไปมากมายตามใจชอบเลยครับ
#มีภาระเกินกว่าจะเสี่ยง คนส่วนใหญ่ต้องทนทำงานที่ตัวเองไม่ชอบ อยู่กับเจ้านายที่ไม่ได้รัก รับเงินในจำนวนที่ไม่ได้อยากได้ เพราะ เรามี "ภาระ" ครับ ทั้งค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ บัตรเครดิต ค่าเรียนลูก ค่ากินใช้ ฯลฯ #สิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนเชือกที่รัดคุณไว้ ยิ่งเชือกหลายเส้น ยิ่งรัดแน่นหนา ถ้าคุณมีหนี้สินมาก คุณจะยิ่งต้องทนทำงานเพื่อหาเงินมาคลายเชือกแต่ละเส้นออกทุกเดือนๆ
แต่ส่วนใหญ่ก็ได้แค่คลายเชือกออก ไม่สามารถตัดให้ขาด แถมยังสร้างเชือกเส้นใหม่ ด้วยการก่อหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการหมุนเงินผิดวิธี เช่น จ่ายบัตรเครดิตแบบขั้นต่ำ, การก่อหนี้นอกระบบ, การใช้เงินเกินตัว ฯลฯ
ดังนั้น ลดภาระให้เหลือน้อยที่คุณ ชีวิตคุณจะเบาลง และ คุณจะรู้สึกว่าคุณมีทางเลือกเพิ่มขึ้น หรือตัดสินใจง่ายขึ้น เพราะเงื่อนไขภาระมีไม่เยอะครับ ดังนั้นเคลียร์หนี้ก่อนคิดลาออกครับ
#ไม่มีเงินสำรอง บางคนอยากจะลาออกมันซะวันนี้ พรุ่งนี้ วินาทีนี้ แต่คิดอีกทีแล้วเดือนหน้าจะเอาอะไรกิน?
นั่นก็เพราะคุณขาดการวางแผนการเงินที่ดีครับ คนเราควรมีเงินสำรองอย่างน้อย เท่ากับรายจ่ายประจำที่คุณต้องใช้จ่าย 3-6 เดือน นะครับ เพราะให้คุณอยู่ได้อย่างปลอดภัยชั่วระยะเวลาหนึ่ง นี่ยังไม่รวมเงินลงทุนกรณีที่คุณอยากเอาเงินก้อนนี้ไปทำกินต่อ ซึ่งควรเป็นคนละก้อนกันนะครับ วันนี้คุณมีสักก้อนแล้วหรือยัง?
ก่อนจะเดินไปลาออกวันนี้ สำรวจเงินสำรองที่มีสักเล็กน้อยนะครับ ถ้ามีแล้วผมก็ดีใจด้วย คุณมีทางเลือกในการ "จะไป " ที่ปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่ถ้ายังไม่มีเงินสำรอง "ห้ามวู่วาม" เด็ดขาดครับ อย่าให้ความเครียดชั่ววูป ทำชีวิตพังไปอีกชั่วกาลนาน กว่าจะตั้งหลักใหม่ได้ มันนานนะครับ
#ฝากไว้สำหรับคนที่คิดจะลาออก ตรวจสอบตัวเองก่อนนะครับ
1.มีความสามารถมากพอมั้ย ถึงหางานได้ แต่ถ้าที่ใหม่ทำไม่รอด จะยุ่งกว่าเดิมนะครับ เพิ่มความสามารถตัวเองให้มากที่สุด ความเก่งเท่านั้นจะทำให้คุณอยู่รอดได้ทุกที่
2. มีภาระหนี้มากไปมั้ย ถ้ารู้ตัวแล้วว่า เริ่มไม่มีความสุขจากงานที่ทำ รับจัดการหนี้ด่วนที่สุดในขณะที่ยังทำงานอยู่ครับ วางแผนเนิ่นๆเลย ถึงไม่ได้เปลี่ยนงาน แต่หนี้ก็หายไป ชีวิตคุณจะสบายใจขึ้น
3. มีเงินสำรองเพียงพอมั้ย ถ้ายังไม่เพียงพอ เก็บเงินสำรองก่อนครับ สร้างฟูกให้ตัวเองก่อน อย่าลาออกมาแล้วเป็นภาระคนอื่น อย่าคาดหวังว่าใครจะดูแลเราได้ พ่อ แม่ แฟน สามี ภรรยา ทุกคนล้วนมีภาระของตัวเองครับ สร้างเงินสำรองก่อนครับ
คุณต้องลาออกมาแบบปลอดภัย แล้วให้การลาออกครั้งนี้เป็นการสร้างโอกาสที่ดี ที่จะได้เริ่มต้นใหม่แบบสวยงามนะครับ
- ผมเอาใจช่วยทุกคนครับ -

• บทความโดย คุณมงคล ลุสัมฤทธิ์ • CEO of WDC Group •

Website: www.wdcgroup.co.th
Line@: http://line.me/ti/p/%40wealthdesigner

#WDCgroup
#WealthDesigner
#OurTouchForTheBetterLife

#ทุกชีวิตที่เราสัมผัสจะต้องดีขึ้น

21. อายุเท่าไหร่? ถึงต้องเริ่มคิด! เรื่องเกษียณ

ในภาพอาจจะมี 7 คน, คนที่ยิ้ม, ข้อความ


เรื่อง "เกษียณ" คงยังฟังดูเป็นเรื่องไกลตัวนะครับ ถ้าเทียบกับการที่วันนี้เรามีภาระหน้าที่ ต้องทำงาน หาเงินกินใช้ สร้างอนาคตตัวเอง จ่ายค่าเล่าเรียนลูก ฯลฯ
ด้วยปัจจัยมากมายจึงทำให้หลายคนมองข้ามเรื่องนี้ไป แล้วทิ้งมันไว้เป็นเรื่องท้ายๆ ที่เราจะคิดถึง...
แต่คุณรู้มั้ยครับ #เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆของชีวิตคนทุกคน #ถ้าคุณไม่เตรียมตัวให้ดี #คุณจะพบความลำบาก ในวันที่คุณไม่มีเรี่ยวแรงจะแก้ไขสถานการณ์แล้ว และผมว่ามันอันตรายมากๆ
ไม่เชื่อลองคิดภาพตามนะครับ...
หากวันนี้คุณยังมีแรงทำงานหาเงิน และคุณอยากหยุดพักตอนอายุ 60ปี ซึ่งตอนนั้นแม้คุณจะไม่อยากพัก ก็คงมีไม่กี่งานแล้วละครับที่คุณจะยังทำได้ ผมสมมุติให้ชีวิตการทำงานของคุณ หยุดเดินที่อายุ 60ปี แต่ชีวิตคุณมันยังไม่หยุดครับ
รายจ่ายยังไม่หยุดเดิน ผมถามคำถามง่ายๆว่า...
ในวันนั้นคุณจะเอาเงินที่ไหนใช้?
แล้วหากคุณดันแข็งแรงมีอายุไปถึง80ปี นั่นคือช่วง20ปีหลัง นับเป็นจำนวน 240 เดือนเชียวนะครับ ที่คุณต้องอยู่โดยไม่มีรายได้ เพราะทำงานไม่ได้แล้ว แต่รายจ่ายคุณยังทำงานอยู่ และนี่คือความน่ากลัวครับ!
ถ้าวันนี้คุณลองคำนวนว่า คุณต้องเตรียมเงินเท่าไหร่ เพื่อให้คุณมีเงินใช้ใน20ปีท้ายหลังเกษียณ มันจะยิ่งทวีความน่ากลัวขึ้นไปอีกเพราะคุณจะรู้ตัวเองทันทีว่า มันยังมีเวลา หรือ มันแทบจะหาไม่ทันแล้ว
ก็คำนวนง่ายๆดิบๆ ยังไม่เอาปัจจัยอื่นมาคิด ลองแค่ถ้าคุณอยากมีเงินใช้หลังเกษียณเดือนละ30,000 ก็ลองคูณ240เดือนเข้าไป = 7,200,000 บาท ครับ!!!
บางคนเห็นตรงนี้ก็หงายหลังแล้ว จะไปหามาจากไหนตั้งขนาดนั้น ทุกวันนี้จะเก็บให้ได้พัน ได้หมื่นยังยากเย็น ก็นั่นสิครับ... ดังนั้นถ้าถามว่า #อายุเท่าไหร่ถึงต้องเริ่มคิดเรื่องเกษียณ
ผมบอกตรงนี้เลยครับ คือ "เร็วที่สุด" ยิ่งดี เพราะเราต้องใช้เวลาในการเตรียมตัว หาเงิน และลงทุน ผมไม่ได้บอกให้คุณหยอดกระปุกจนกว่าจะได้7,200,000 บาท นะครับ มันมีตัวช่วยมากมายที่ทำให้ได้ง่ายกว่านั้น
ทั้งการลงทุนในหุ้นให้ได้เงินปันผล กองทุนต่างๆ ที่ทำให้เงินคุณงอกเงย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลาเติบโตครับ ถ้าคุณเตรียมตัวในวันที่คุณยังมีเรี่ยวแรงทำงาน ภาระหนี้สินมีไม่เยอะ คุณจะยิ่งสามารถออกแบบชีวิตหลังเกษียณได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ และครอบคลุมได้มากที่สุด
เพราะมันยังมีเรื่องค่าใช้จ่ายอื่นๆ ความเจ็บป่วย ค่ารักษาต่างๆ หรือ เงินก้อนสุดท้ายให้ลูกหลาน ใครๆก็อยากให้ตัวเราและคนที่เรารักอยู่ได้อย่างสบายไปตลอดรอดฝั่งทั้งนั้นแหละครับ และการหาเงินตอนแก่ มันไม่สนุก!
หากคุณตระหนักถึงความสำคัญ และมีเวลาตรียมตัวเร็วเท่าไหร่ อนาคตคุณจะยิ่งสบายได้อย่างมั่นใจมากขึ้น เพราะอย่างที่ผมเน้นย้ำเสมอ #อย่าหวังพึ่งใครตอนปลายทางของชีวิตเด็ดขาด โดยเฉพาะลูกหลาน ในวันที่เราแก่ตัวไป เราควรเป็นหลังบ้านที่มั่นคงให้ลูกๆและส่งต่อประสบการณ์ดีๆให้เค้าได้ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย ไม่ใช่มีเราเป็นภาระ จนเค้าต้องมานั่งคิดว่า
"ทำไมพ่อแม่ไม่วางแผนการเงินตั้งแต่แรก?"
อย่าลืมนะครับ "เรื่องเกษียณ" คิดเร็วเท่าไหร่ ยิ่งสบายเร็วเท่านั้น //เริ่มเลยครับ

มงคล ลุสัมฤทธิ์
Wealth Designer 

• บทความโดย คุณมงคล ลุสัมฤทธิ์ • CEO of WDC Group •

Website: www.wdcgroup.co.th
Line@: http://line.me/ti/p/%40wealthdesigner

#WDCgroup
#WealthDesigner
#OurTouchForTheBetterLife
#ทุกชีวิตที่เราสัมผัสจะต้องดีขึ้น

20. วางแผนการเงินทั้งชีวิตให้ ถูกจริต การใช้เงิน

ในภาพอาจจะมี รถยนต์ และข้อความ

บางคนบอกว่า ขอแค่ไม่มีหนี้มีสิน มีกินมีใช้แบบไม่ลำบากแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ในขณะที่บางคนอยากมีเงินเพื่อท่องเที่ยว มีรถหรู มีบ้านหลังใหญ่ ใช้แบรนด์เนมต่างๆ ได้ตามความพอใจขั้นสูงสุด
ซึ่งก็ต้องบอกว่า #ไม่มีแบบใดผิดนะครับ 
ถ้าคุณรู้ว่า คุณมีจริตการใช้เงินแบบไหนที่จะมีความสุข และ คุณสามารถหาเงินมาตอบสนองมันได้อย่างเพียงพอ...

#ปัญหามักเกิดตรงที่ เรามีจริตการใช้เงินที่ "มากกว่า" ความสามารถในการหาเงินครับ รวมทั้งไม่มีความรู้ทางการเงินที่จะเพิ่มพลังให้ "เงิน" งอกเงยได้ทันการใช้เงินของคุณ
ปัญหาเลยตามมาอย่างที่เราเห็นบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายเกินตัว ปัญหาหนี้บัตรเครดิต หนี้นอกระบบ ความล้มเหลวในการจัดการหนี้สินและ การไม่ประสบความสำเร็จในการวาแผนการเงินเพื่ออนาคต
หากวันนี้คุณเป็นคนที่มีจริตในการใช้เงินไม่สอดคร้องกับความสามารถทางการเงิน ผมยืนยันได้เลยว่าคุณคงต้องยอมเปลี่ยนนิสัยการใช้เงินของคุณครับ...แต่แค่ชั่วคราวเท่านั้นเอง
ถ้าคุณยังมีความสามารถทางการหาเงินอย่างจำกัด มีรายได้ทางเดียว ยังไม่สามารถเพิ่มรายได้หลายๆช่องทาง ด้วยข้ออ้างทั้งหลายเช่นไม่มีความรู้ ไม่มีเวลาฯลฯ #สิ่งที่คุณทำได้เบื้องต้นคือ แก้ไขที่นิสัยการใช้เงินของตัวเองก่อนครับ
ข้อแรกคือ ลด ละ เลิก สิ่งที่ไม่จำเป็น และเอารายรับ รายจ่ายคุณมากางดูครับว่าแท้จริงแล้ว คุณต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอในการใช้จ่ายตามปกติ ที่จะสอดคร้องกับรายได้ที่มี แบบไม่ต้องเพิ่มหนี้สิน
ข้อสองคือ ถ้าคุณอยากใช้จ่ายตามใจให้ตรงกับจริตของคุณ คุณต้องมีเงินเพิ่มอีกเท่าไหร่? เมื่อได้ตัวเลขแล้วก็หาวิธีสร้างรายได้เพิ่มครับ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มอาชีพเพื่อสร้างกระแสเงิน หรือ การลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงย การวางแผนระยะสั้น กลาง ยาว เพื่ออนาคต ยามเจ็บป่วยหรือยามแก่ชรา รวมลดความเสี่ยงเรื่องต่างๆ
สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นกลไกของการเพิ่มและ ปกป้องเงินในกระเป๋าทั้งสิ้นครับ ไม่งั้นหาได้เท่าไหร่ รั่วไปหมดเท่านั้น เผลอๆเข้าเนื้อกันไปอีก
#ขอเพียงวันนี้ คุณต้องฝึกให้ตัวเองมีเป้าหมายก่อน แล้วเดินตามเป้าหมายนั้นครับ ใช้เงินอย่างรู้ทิศทาง และสอดคร้องกับรายได้ก่อน แล้วค่อยๆปรับรูปแบบชีวิตไปครับ อย่าใช้ชีวิตแบบไร้ทิศทาง แล้วรู้ตัวอีกหนี้บานตะไท!
คุณอาจจะต้องใช้เงินอย่างไม่ถูกจริตไปซักระยะครับ เพื่อสะสมทั้งเงิน และความสามารถ แต่เมื่อวันนึงคุณเจอความต้องการของตัวเองในจุดที่พอใจแล้ว และค้นหาวิธี หารายได้เพื่อตอบสนองได้อย่างเพียงพอเช่นกัน
เมื่อนั้นคุณจะได้มีชีวิตทางการเงิน ที่ถูกจริตกับตัวเองแน่นอนครับ...
#การบริหารเงินก็มีความสุขได้นะครับ
#หาจริตของตัวเองให้เจอ #แล้วหาเงินให้พอครับ

Website: www.wdcgroup.co.th
Line@: http://line.me/ti/p/%40wealthdesigner

#WDCgroup
#WealthDesigner
#OurTouchForTheBetterLife

19. คุณยิ้มกับงานครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังยิ้ม, กำลังนั่ง

ใกล้จะหมดปีแบบนี้ ผมเห็นมีหลายคนชอบอาศัยจังหวะนี้ในการเตรียมตัวหางานใหม่ บางคนแอบเอาไว้เป็นเป้าหมายของปีหน้าว่า "ฉันจะทำงานนี้เป็นปีสุดท้าย"
ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นคุณคง "ไม่มีความสุข" ในการทำงานเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งผมว่ามันน่าเศร้านะครับ
เพราะการทำงานนั้น กินเวลาส่วนใหญ่ของชีวิตไปมากมายเลยทีเดียว ถ้าคุณต้องอยู่กับงาน ที่คุณทำแล้วไม่มีความสุข นั่นหมายความว่า เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของคุณ ก็จะอยู่อย่างไม่มีความสุข
มันทำให้คุณนั่งเฝ้ารอวันหยุดที่แสนสั้น หรือมองหางานใหม่ๆเป็นประจำ ไม่มีจิตใจอยากทำ และไม่สามารถสร้างความสุขในชีวิตได้อย่างถาวร
สำหรับผม ผมโชคดีมาก ที่ได้ทำงานที่รักและทุกครั้งที่ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาทำงานในแต่ละวัน ผมไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย หรือ เบื่อหน่าย นั่นเพราะผมเลือกงานที่ใช่ งานที่ทำให้ผมมองเห็นคุณค่าของตัวเอง และผมไม่ลังเลที่จะต้องเดินในเส้นทางนี้ไปตลอดชีวิต ที่สำคัญ "ผมมีสิทธิ์เลือกว่าจะทำ หรือ ไม่ทำ"
ที่จริงแล้วบทความนี้ ผมแค่อยากให้คุณลองมองตัวเองและงานที่คุณทำอยู่ว่า #สิ่งที่ทำให้คุณเบื่อหน่าย ไม่เคยยิ้มกับงานที่ต้องทำ เป็นเพราะคุณเลือกงานผิด หรือ คุณไม่มีสิทธิ์เลือก
บางคนด้วยภาระหนี้สินต่างๆมากมาย ทำให้คุณต้องทนอยู่กับงานที่ไม่ใช่ รายได้ที่น้อยนิด และข้ออ้างต่างๆที่ต้องทนใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป ไม่ใช่เพราะคุณรักงานที่ทำ แต่คุณแค่ทำ เพราะ"ต้องทำ"
ถ้าสถานะคุณเป็นแบบนั้น คุณอาจขาดการวางแผนที่ดี หรือ อาจะพลาดเรื่องใดไปหรือไม่? การวางแผนที่ดี คือการมองให้รอบด้านว่าชีวิตเราควรมีความสุข ความมั่นคงด้านใดบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนการเรียน วางแผนการทำงาน วางแผนการเงิน ทุกอย่างล้วนสอดคล้องกันหมด
โดยเฉพาะ #การวางแผนการเงิน ถ้าการเงินของคุณมีแต่หนี้สินรัดตัว มีภาระที่จำเป็นมากมาย ที่คุณต้องรับผิดชอบ ขาดความอิสระในการตันสินใจ เพราะการเงินติดขัด สิ่งเหล่านั้นก็จะทำให้คุณไม่เหลือทางเลือกในการใช้ชีวิตในโหมดอื่นๆ ให้มีความสุข
เลือกทำงานที่ชอบไม่ได้ ไปเที่ยวพักผ่อนไม่ได้ มีอิสระไม่ได้ และหลายต่อหลายอย่างคุณจะทำ "ไม่ได้" เพียงเพราะ คุณ "ไม่มีสิทธิ์เลือก"
ท้ายนี้ ผมยืนยันว่า เราสามารถทำงานอย่างมีความสุขได้นะครับ ถ้าคุณเปิดโอกาสตัวเองให้มีสิทธิ์เลือกทำงานที่ต้องการ และ มีรายได้ที่ใช่ เพียงแค่คุณต้องวางแผนในแต่ละโหมดของชีวิตให้สอดคล้องกัน แล้วเดินตามแผนนั้น คุณจะมีความสุขขึ้นแน่นอน
ใช้โอกาสใกล้ปลายปีแบบนี้
#วางแผนชีวิตปีหน้ากันนะครับ

Website: www.wdcgroup.co.th
Line@: http://line.me/ti/p/%40wealthdesigner

#WDCgroup
#WealthDesigner
#OurTouchForTheBetterLife

18. เก็บเงินมาทั้งชีวิต แต่ลืมคิดว่ามัน "รั่ว"

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

#เก็บเงินเท่าไหร่ก็ไม่รวยสักที
เคยรู้สึกกันมั้ยครับ ว่าการเก็บเงิน ดูเป็นเรื่องยากเย็นเหลือเกิน กว่าจะเก็บหอมรอมริบให้ได้หลักหมื่น หลักแสน หืดแทบขึ้นคอ ผมไม่ได้บอกว่าการเก็บเงินไม่ดีนะครับ การเก็บเงินดีแน่นอน แต่ก็มีบางเรื่องที่เราต้องคำนึงถึงด้วย ไม่งั้นเก็บเท่าไหร่ก็จนเท่าเดิม
ผมอยากจะบอกว่า เงินที่คุณเก็บอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะอยู่ในBankหรือ อยู่ในกระปุกหมูที่บ้าน แม้ปริมาณจะเท่าเดิม แต่เมื่อเวลาผ่านไป "มูลค่า" ของมันลดลงเรื่อยๆ
เพราะอะไรเหรอครับ? มาครับ ผมจะอธิบายให้ฟัง
#เพราะอัตราเงินเฟ้อครับ
มาถึงตรงนี้หลายคนก็ยังไม่ค่อยเข้าใจคำว่า "เงินเฟ้อ" ศัตรูตัวร้ายที่กัดกินเงินคุณอยู่ตลอดเวลา ให้อธิบายง่ายๆ คือ ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มูลค่าเงินมันลดลงครับ
#ยกตัวอย่างง่ายๆ
เมื่อ20ปีที่แล้ว ข้าวกระเพราไข่ดาวกล่องละ 15-20 บ.
ปัจจุบันนี้ ข้าวกระเพราไข่ดาว ราคากล่องละ 35-40 บ.!
หมายความว่า ถ้าวันนี้คุณมีเงิน20บาท เหมือนเมื่อ20ปีที่แล้ว ตอนนี้คุณซื้อข้าวกระเพราไข่ดาวไม่ได้แล้วนะครับ...เจ็บปวดครับ
*นี่คือสถานการณ์เงินเฟ้อ*
ค่าเฉลี่ยของประเทศไทย เราจะเจอเงินเฟ้อเฉลี่ยปีละ 3%ครับ ดังนั้นใครที่ก้มหน้า ก้มตาหยอดกระปุกอย่างเดียว กระปุกคุณรั่วเรื่อยๆปีละ3%แน่นอน เพราะเงินในกระปุกคุณเงินด้อยค่าลงครับ
สิ่งที่จะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้คือ
#วางแผนการเก็บเงิน โดยคำนวนเผื่อเงินเฟ้อ3%เข้าไปด้วย ไม่ว่าวันนี้คุณจะเก็บเงินเพื่อซื้อของที่อยากได้ หรือ วางแผนค่าเล่าเรียนลูก ฯลฯ คุณต้องเอาค่าเงินเฟ้อปีละ3% บวกเข้าไปด้วยครับ นั่นคือยอดเงินที่คุณต้องเก็บครับ
#ส่งเงินไปทำงาน อย่าให้เงินนอนขี้เกียจอยู่เฉยๆครับ เงินที่คุณมีสามารถส่งมันไปทำงานได้ ด้วยการลงทุนแบบต่างๆ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว แล้วแต่เป้าหมายของคุณครับ การลงทุนมีหลายแบบ และสร้างผลตอบแทนได้ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น การซื้อกองทุน, ตราสารหนี้, หุ้นปันผล ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ จะช่วยให้เงินของคุณงอกเงยมากขึ้นด้วยผลตอบแทนที่เอาชนะเงินเฟ้อได้
#ปิดช่องโหว่เรื่องความเสี่ยงต่างๆ บางคนเก็บเงินมาทั้งชีวิตเป็นเงินเกษียณ เป็นค่าเล่าเรียนลูก อยู่ดีๆ ตรวจเจอโรคมะเร็ง ตับ ไต ไส้พุง โรคร้ายแรงต่างๆ หลายคนต้องยอมทุบ! ทุกกระปุกที่มีออกมารักษากัน ทุกแผนที่วางไว้ พังทลายหมดในพริบตา
ผมยังยืนยันว่า ถ้าคุณวางแผนการเงินแล้ว อย่าลืมเรื่องการลดความเสี่ยงจากค่าใช้จ่ายเหล่านี้ด้วยนะครับ #ประกันชีวิต เป็นสิ่งเดียวที่ช่วยกู้สถานการณ์เหล่านี้ได้
#ผมไม่ได้อยากขายประกัน แต่ผมยืนยันได้ว่า "ประกันชีวิต" เป็นสิ่งที่คุณ "จำเป็น" ต้องมี เพื่อปกป้องเงินเก็บของคุณให้อยู่รอดปลอดภัย โดยไม่ต้องทุบกระปุกออกมาจ่ายค่ารักษา ในระหว่างทางจนหมด เก็บเงินมาอย่างดี ป่วยไปทีสองที เงินเกลี้ยงบ้าน น้ำตาจะไหลเอานะครับ
ผมฝากไว้แค่ 3 ข้อง่ายๆ ที่คุณจะสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ และ ทำให้การเก็บเงินเพื่อเป้าหมายต่างๆ สามารถเดินไปได้ตลอดรอดฝั่ง
อย่าลืมนะครับ...
เงิน20บาทวันนี้ ซื้อข้าวกระเพราไข่ดาวไม่ได้แล้วนะครับ
#นี่คือสถานการณ์เงินเฟ้อ #ฝากไว้ให้คิดครับ

Website: www.wdcgroup.co.th
Line@: http://line.me/ti/p/%40wealthdesigner

#WDCgroup
#WealthDesigner
#OurTouchForTheBetterLife

17. จะไปต่ออย่างไร...ในวันที่โดน "เลิกจ้าง"

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป

       เป็นเช้าวันจันทร์ที่ไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่นะครับ สำหรับข่าวลือการเลิกจ้างพนักงานของช่อง3 ซึ่งตามข่าวระบุว่ามีพนักงานที่ต้องลงชื่อพ้นสภาพ-ถูกเลิกจ้างออกจากงานเกือบร้อยชีวิต
โดยทางช่อง3 จะจ่ายเงินค่าชดเชยให้ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานคือค่าชดเชย 10 เดือน และค่าตกใจ (ที่มิได้บอกกล่าวล่วงหน้าอีก 2 เดือน) รวมเป็น 12 เดือน
ในมุมมองของผม แม้ว่าผู้ที่ต้องพ้นสภาพพนักงานจะได้เงินก้อนเป็นจำนวนถึง12เดือนก็ตาม แต่ก็ต้องแลกมากับสถานะ "ตกงาน" ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันแบบนี้ ผมก็ยังถือว่าเป็นข่าวร้ายของชีวิตอยู่ดี โดยเฉพาะคนที่อายุมากแล้ว การหางานใหม่ในวันที่วงการสื่อฯ อยู่ในยุควิกฤติ ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากมากจริงๆครับ
ดังนั้น ผมจึงขออนุญาตให้คำแนะนำในเบื้องต้นสำหรับคนที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้นะครับ
#1ตรวจสอบเอกสารการเลิกจ้างให้ละเอียด หลังจากทราบรายละเอียดแล้ว ตั้งสติและตรวจสอบดูเอกสารในการเลิกจ้างนะครับ ว่ามีการจ่ายค่าชดเชยตามกฏหมาย และมีค่าชดเชยแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าหรือไม่ รวมทั้งมีค่าชดเชยในค่าแรงในวันลาพักร้อนที่เหลืออยู่ในปีนั้นหรือไม่ เรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างมาก เป็นการรักษาสิทธิของตัวเองนะครับ
#2ประกันสังคมมีประโยชน์ หากคุณเป็นคนที่จ่ายประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนการว่างงาน (ถูกเลิกจ้างหรือลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้างตามกำหนดระยะเวลา) โดยไม่มีความผิดตามกฎหมาย #อย่าลืมขึ้นทะเบียนคนว่างงาน กับสำนักงานจัดหางานฯ ประกันสังคม ภายใน 30 วัน หลังจากถูกเลิกจ้าง เพื่อยื่นเรื่องในการรับเงินค่าทดแทนระหว่างการว่างงานนะครับ (เงินทดแทนกรณีว่างงานไม่ต้องเสียภาษีนะครับ)
คุณจะได้รับเงินค่าทดแทนกรณีว่างงาน จำนวน 50 %
เป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน โดยคำนวณจากฐานเงินสมทบขั้นต่ำเดือนละ 1,650 บาท และฐานเงินสมทบสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ตัวอย่างเช่น ผู้ประกันตนมีเงินเดือนเฉลี่ย 10,000 บาท จะได้รับเดือนละ 5,000 บาท หรือถ้ามีเงินเดือนสูงกว่า 15,000 บาท ก็จะได้รับเงินช่วยเหลือที่อัตราสูงสุด คือ 7,500 บาทครับ
ทั้งนี้ คุณต้องรายงานตัวที่สำนักงานแรงงานเขตพื้นที่ทุก 30 วันจนครบกำหนด สามารถดูรายละเอียดการขอขึ้นทะเบียนคนว่างงานได้ที่ลิงค์นี้ครับhttp://www.sso.go.th/hospital/category.jsp?lang=th&cat=874
#3กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต้มต่ออีกทางหนึ่ง ถึงคราวได้เห็นประโยชน์กันสักทีครับ สำหรับเงินกองทุนสำรองฯ ที่คุณจะได้รับออกมา ยังไม่จำเป็นต้องนำไปใช้ (อาจจะเนื่องจากค่าชดเชยที่คุณได้รับ มากเพียงพอแล้ว) ผมแนะนำว่า อย่าเพิ่งใช้ครับ
โดยปกติแล้วกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเงินออมในระยะยาว สำหรับเป็นเงินได้หลังเกษียณ แต่สำหรับคนmujต้องถูกนายจ้างให้ออกจากงานเสียก่อน ก็มีทางเลือกสำหรับการจัดการกับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
โดยคุณสามารถเลือกย้ายเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)ได้นะครับ เพื่อสะสมระยะเวลาสมาชิกกองทุนฯ และรอจนอายุครบ 55 ปี ค่อยนำเงินออกจากกองทุนฯ เพื่อจะได้รับการยกเว้นภาษีตามเงื่อนไข คือ มีอายุไม่น้อยกว่า 55 ปี และเป็นสมาชิกกองทุนฯ ไม่น้อยกว่า 5 ปี
#4อย่านำเงินที่ได้ไปลงทุนจนหมด บางคนถือโอกาสนี้ในการสร้างอาชีัพใหม่ให้ตัวเอง บ้างก็หางานใหม่ บ้างก็ค้าขาย สร้างธุรกิจ แต่ไม่ว่าคุณจะมีทางออกแบบไหน ผมแนะนะว่า "อย่านำไปลงทุนจนหมด"นะครับ ยังไงเสีย คุณควรต้องกันเงินสำรองสำหรับรายจ่ายจำเป็นไว้ล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือน เผื่อในกรณีที่ยังไม่ได้งานใหม่ หรือ ธุรกิจที่คุณกำลังจะทำ มันไปไม่รอด
แม้ว่าการกันเงินขึ้นไว้ถึง 6 เดือน จะทำให้คุณมีเงินไปลงทุนน้อยลง แต่ถ้าแลกมากับความสบายใจอย่างน้อย 6 เดือน ว่าคุณมีเงินจ่ายภาระแน่นอน ทำเถอะครับ คุ้มครับ
ท้ายนี้ ผมขอเป็นกำลังใจให้กับทุกๆคนที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้นะครับ ขอให้ทุกท่านมีสติและผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
สำหรับคนที่ยังมีงานทำ มีรายได้อยู่ ก็อย่าประมาทนะครับ
"ความมั่นคง" ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่คุณมีงานประจำทำ (แต่เป็นรายได้ทางเดียว) หรือ การได้ทำงานในองค์กรใหญ่โต มีชื่อเสียงนะครับ ทุกวันนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ สร้างรายได้ไว้หลายๆทาง และ วางแผนการเงินกันดีๆครับ
- อย่ารอให้สายไปครับ -

Website: www.wdcgroup.co.th
Line@: http://line.me/ti/p/%40wealthdesigner

#WDCgroup
#WealthDesigner
#OurTouchForTheBetterLife

16. WANTS |NEEDS รู้ไปหมด...แต่อดไม่ได้!


ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และข้อความ
- คุณรู้ใช่ไหมครับ...
ว่าเราไม่ควรใช้เงินเกินตัว
- คุณรู้ใช่ไหมครับ...
ว่าเราไม่ควรมีหนี้สินมากมาย
- คุณรู้ใช่ไหมครับ...
ว่าเราไม่ควรใช้จ่ายแบบไม่ยั้งคิด
**และ คุณรู้ใช่ไหมครับ...**
ว่าถ้าทำทุกอย่างที่ว่ามา #คุณจะเดือดร้อน!
ดังคำกล่าวของนักลงทุนระดับโลก วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยบอกไว้ว่า "ถ้าคุณเอาแต่ซื้อสิ่งของไม่จำเป็น ไม่นานคุณจะต้องขายสิ่งที่คุณจำเป็น"
ทุกวันนี้ปัญหาที่มีคนมาปรึกษาผมบ่อยมากไม่แพ้เรื่องอื่นเลย คือ #ปัญหาการเป็นหนี้ ทั้งในและนอกระบบ บางคนหนี้สินเยอะจนพัวพันเป็นงูกินหาง หาทางนั้นไปจ่ายทางนี้ หมุนเงินตัวเป็นเกลียว แต่หมุนเท่าไหร่ ก็ไม่หลุดพ้นสักที นั่นเพราะเราไม่เคยแก้ที่ต้นเหตุครับ
เราทุกคนรู้กันอยู่แล้วครับ ว่าการหลุดพ้นจากหนี้ก็คือใช้หนี้ซะ และ หยุดก่อหนี้ แต่นั่นไม่ใช่การแก้ที่ต้นตอของปัญหาครับ ต้นตอของปัญหาทั้งหมด คือ "คุณ" ต่างหาก
#ผมขอสรุปเป็นประเด็นที่สำคัญมากๆ สำหรับคนที่ต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ให้ตัวเองปลอดหนี้เสียที ดังนี้ครับ
#ปรับเปลี่ยนนิสัยการใช้เงิน เรื่องนี้สำคัญเป็นอันดับแรกครับ ไม่มีใครช่วยคุณได้ หากคุณไม่เปลี่ยนนิสัยการใช้เงินของคุณ ไม่ว่าคุณจะหาเงินเก่งแค่ไหน ถ้าคุณใช้เงินเก่งกว่า คุณก็จะไม่มีวันรวย แล้วถ้าหาเงินไม่เก่ง แต่ใช้เก่งด้วยแล้วนั้น...ชีวิตพังครับ
เวลาที่คุณจะใช้จ่ายเงินไปกับอะไรสักอย่าง ผมอยากให้คุณฝึกถามตัวเองก่อนทุกครั้งครับว่า "Need หรือ Want"
ใช่ครับ...จำเป็น หรือ ต้องการ? ผมคิดว่าถ้าเราไม่เข้าข้างกิเลสตัวเองจนเกินไป ทุกคนแยกแยะได้ครับว่าสิ่งที่คุณกำลังจะเสียเงินซื้อนั้น มันเป็นความจำเป็น หรือแค่ต้องการ? ตอบตัวเองให้ได้ทุกครั้ง แล้วเลือกดีๆครับ
การใช้ชีวิตของคุณในทุกๆด้านก็เช่นกัน ปรับให้อยู่ในความพอดีกับรายได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นกาแฟแก้วโปรดที่ต้องกินทุกวัน วันหยุดที่ต้องสังสรรค์ทุกวีค เสื้อผ้าแบรนด์เนมที่ของมันต้องมี สิ่งเหล่านี้ถ้าเงินคุณยังไม่มากพอ ลด ละ เลิก ลงไปบ้าง ชีวิตทางการเงินจะได้สบายขึ้นครับ
คำว่า "เงิน" ไม่ใช่มีแค่ไหนใช้แค่นั้นนะครับ แต่มีแค่ไหน ต้อง"ใช้น้อยกว่าที่มี" #เงินจะได้เหลือ และถ้าคุณใช้มากกว่าที่มี จะได้หนี้ตามมาอย่างที่เห็นกันครับ
#หาเงินให้เก่งกว่าใช้เงิน คนหาเงินเก่ง มีรายได้หลายทางย่อมได้เปรียบกว่าคนที่หาเงินไม่เก่ง ความสามารถน้อย มีรายได้อย่างจำกัดแน่นอนครับ ดังนั้นเมื่อคุณปรับนิสัยการใช้เงิน ไปพร้อมๆกับเพิ่มความสามารถในการหาเงินได้มากขึ้นแล้ว คุณจะมีเงินใช้หนี้ คุณจะมีเงินใช้จ่ายอย่างสมฐานะ โดยไม่ต้องสร้างหนี้เพิ่มพราะคุณมีเงินเพียงพอ และใช้เงินอย่างเหมาะสม
แม้ว่าปัจจุบัน ผมเห็นคนรอบตัวมีรายได้หลายทาง เป็นเรื่องปกติ จนดูคล้ายจะเป็นรูปแบบชีวิตของคนสมัยนี้ไปแล้ว แต่จริงๆ ยังมีคนอีกจำนวนมากครับ ที่มีรายได้ทางเดียว ทำงานทีเดียว มีความสามารถจำกัด (แต่มี "หนี้" ไม่จำกัดเลยครับ) ซึ่งผมยังยืนยันว่าถ้าเป็นแบบนั้น คุณใช้ชีวิต เสี่ยงมากๆ ยิ่งบางคนมีครอบครัว มีลูก คุณไม่ได้เสี่ยงแค่คนเดียว แต่เอาชีวิตครอบครัวเสี่ยงไปกับคุณด้วย
จำไว้ว่าสิ่งที่ควรจะเป็นคือเราควรมีหนี้ที่จำกัด แต่เรามีรายได้ไม่จำกัดได้นะครับ
#อย่าลืมบัญชีรายรับรายจ่าย ยาขมที่ใครๆก็ส่ายหน้าหนีนี่แหละครับ จะเป็นเครื่องมือชั้นดีที่จะทำให้คุณ "เห็นภาพ" เส้นทางการเงินของคุณว่าในแต่ละวัน แต่ละเดือน คุณมีรายได้ทางไหน มีรายจ่ายทางไหน ใช้จ่ายกับสิ่งของไร้สาระไปมากมายเพียงใด
ถ้าการจดบัญชีรับจ่าย ในช่วงแรกๆยังทำให้คุณ "แทบช็อก" นั่นหมายความว่า คุณใช้เงินเยอะเกินไปแล้วครับ แต่ถ้าวันใดที่คุณจดบัญชีแล้วคุณ "ใจชื้น" แสดงว่าสถานะการเงินของคุณเริ่มปลอดภัย รายได้ รายจ่ายสมดุล คุณก็จะยิ้มออก
แค่3ข้อที่ผมตั้งใจจะอธิบายสั้นๆ (แต่ไม่สั้นเลย) เพราะเอาเข้าจริงๆ การแก้ไขที่ตัวเอง เป็นสิ่งที่ยั่งยืนที่สุดครับและก็ทำยากที่สุดด้วย กว่าจะคิดได้ กว่าจะสร้างวินัย กว่าจะฝึกฝนจนกลายเป็นตัวตนใหม่ได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นเรื่องที่ควรทำ และ ต้องทำครับ
อย่าใช้ชีวิตแบบที่ ดี ชั่ว รู้หมด แต่อดไม่ได้
ผมเห็น "พัง" ทุกรายแหละครับ...

Website: www.wdcgroup.co.th
Line@: http://line.me/ti/p/%40wealthdesigner

#WDCgroup
#WealthDesigner
#OurTouchForTheBetterLife